Articles

ป้องกันสมองเสื่อมด้วยการ “ออกกำลังสมอง”

 

สมองของมนุษย์เป็นหนึ่งในความมหัศจรรย์ที่สุดที่ธรรมชาติมี

สมองสามารถทำงานพร้อมๆ กันทุกระบบ เฉพาะสมองส่วนที่ทำหน้าที่รับภาพอย่างเดียวมีมากกว่า ๓๐ ศูนย์การทำงาน แต่ละศูนย์มีเครือข่ายเฉพาะของตนเอง แต่ละเครือข่ายมีเส้นใยประสาทมากถึง ๑๐๐,๐๐๐ นิวรอนเป็นองค์ประกอบ สมองสามารถจะรับรู้ภาพได้มากกว่า ๓๖,๐๐๐ ภาพต่อชั่วโมง

ปัจจุบันคนเราหันมาให้ความสำคัญกับการดูแลสมองกันมากขึ้น โดยพยายามหาวิธีการต่างๆ มาบำรุงสมอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกินที่แปลกพิสดาร เช่น ความเชื่อที่ว่ากินมันสมองลิงแล้วจะทำให้ฉลาดปราดเปรื่อง แต่ได้โรคภัยไข้เจ็บไปแทน หรือการกินอาหารเสริมมากๆ โดยไม่ศึกษาให้ดีว่าอาหารเสริมแต่ละชนิดมีส่วนผสมหรือทำมาจากอะไรและสารอาหารนั้นให้คุณค่ากับสมองหรือไม่

นี่ก็เป็นเรื่องที่น่าปวดหัวอีกอย่างหนึ่งที่ผู้คนไม่เข้าใจเรื่องสมองของตนเองเลยและคิดแต่แสวงหาอาหารมาบำรุงสมองแต่ไม่หาวิธีการดูแลหรือป้องกันที่จะทำให้สมองไม่เสื่อม ถึงเวลาแล้วที่เราควรจะมาทำความเข้าใจและดูแลสมองของเราไม่ให้เสื่อมไปก่อนเวลาอันควร แต่ก่อนอื่นเรามาดูกันว่าทำไมสมองเราจึงเสื่อมลงได้

 

สมองเสื่อมโทรมได้อย่างไร

สมองมนุษย์เป็นระบบที่ซับซ้อนและทรงพลังที่สุด การทำงานของสมองจึงปรากฏให้เห็นจากการเคลื่อนไหวร่างกายในลักษณะพฤติกรรมต่างๆ เช่น การทำงาน การใช้ความคิด การเล่นกีฬา การเต้นรำ การร้องเพลง เล่นดนตรี การแก้ปัญหาต่างๆ การรับรู้ที่ก่อเกิดเป็นอารมณ์และความรู้สึก ได้ตามความต้องการของเจ้าของสมอง ถ้าหากการทำงานของสมองนั้นปกติก็สามารถที่จะสั่งการให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ถ้ามีความผิดปกติหรือสมองเสื่อมจะส่งผลทำให้ไม่สามารถกำหนดการเคลื่อนไหวร่างกายให้เป็นไปตามที่ต้องการหรืออาการกระตุกเกร็งขณะขยับเขยื้อนร่างกาย

ความเสื่อมของสมองนั้นอายุเป็นส่วนหนึ่งของปัจจัยเสริมให้การเสื่อมโทรมของสมองบ้าง แต่หากมีการกระทบกระเทือนจากสาเหตุต่างๆ หรือการเลิกใช้ความคิดก็จะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สมองเสื่อมเร็วขึ้น

 

  โรคสมองเสื่อมมีได้หลายแบบโดยไม่จำเป็นต้องเป็นอัลไซเมอร์เสมอไป

อัลไซเมอร์ (Alzheimer) เป็นสมาชิกของโรคสมองเสื่อม แต่โรคสมองเสื่อมไม่จำเป็นต้องเป็นอัลไซเมอร์เสมอไป […]

ทานยาระบายเพื่อลดความอ้วน ดีจริงหรือ

 

ยาระบายหรือยาถ่าย คือ กลุ่มยาที่มีฤทธิ์ช่วยระบาย หรือถ่ายท้อง หรือถ่ายอุจจาระ หรือถ่ายหนัก ซึ่งส่วนใหญ่นิยมใช้ในการบรรเทาอาการท้องผูก และมีบางคนใช้เพื่อลดน้ำหนักหรือลดความอ้วน

  ชนิดของยาระบาย

ยาระบายมีหลายชนิดตามกลไกการออกฤทธิ์ เช่น ยากระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ (stimulant laxatives) ยาเพิ่มความเหลวของอุจจาระ (saline laxatives) ยาเพิ่มกากใยไฟเบอร์ของอุจจาระ (bulk forming laxatives) ยาสวนทวารหนัก (fleet enema) ยาเหน็บ ทวารหนัก (suppositories) เป็นต้น ยาเหล่านี้ล้วนมีผลให้เกิดการระบายบรรเทาอาการท้องผูกได้ผลดี แต่แตกต่างกันที่กลไกการออกฤทธิ์ วิธีใช้ และระยะเวลาการออกฤทธิ์

 

ยากระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ใหญ่

ในบรรดายาระบายที่ได้ยกตัวอย่างมานี้ ยาระบายชนิดที่ออกฤทธิ์ในการกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ใหญ่เป็นชนิดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ทั้งใช้เพื่อบรรเทาอาการท้องผูก และใช้เพื่อลดความอ้วน ตัวอย่างยาระบายที่มีฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ เช่น ยาเม็ดเคลือบสีเหลืองเล็กๆ ที่มีชื่อสามัญ ทางยา “บิสโคดิล” (bisacodyl) ยาระบายที่มีส่วนประกอบของสมุนไพรมะขามแขกที่มีทั้งชนิดเม็ดและชนิดชง เป็นต้น

 

ยาระบายช่วยลดความอ้วนได้จริงหรือไม่?

ปกติแล้วเราจะสามารถลดความอ้วนหรือลดน้ำหนัก หรือลดไขมันหน้าท้องได้ […]

Anti-aging food สุดยอดอาหารต้านแก่

 

เรื่องของความแก่นั้นเป็นเรื่องที่รบกวนจิตใจไม่ว่าจะเป็นเพศหญิง หรือเพศชาย โดยเฉพาะผู้หญิงนั้น คำว่า แก่ เป็นอะไรที่ทำให้เกิดโมหะจริตยากที่จะระงับได้หากใครมาพูดให้ได้ยินใกล้ๆ ในวารสารฉบับนี้จึงจะนำเรื่องชะลอความแก่มาลงให้ท่านสมาชิกได้อ่านกัน เพื่อเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่ง

แนวทางการแพทย์เวชศาสตร์อายุวัฒน์ กำลังได้รับความนิยมเพราะใครๆ ก็อยากอยู่อย่างมีคุณภาพด้วยอายุขัยที่มากขึ้น และอาหารก็เป็นปัจจัยสำคัญของการชะลอความแก่ของวัย

คำว่า เวชศาสตร์อายุวัฒน์ โดย นายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช บัญญัติจาก ภาษาสันสกฤตสองคำนำมาสมานกันโดยให้ความหมายตรงกับคำว่า Anti aging คือการมีชีวิตที่ยืนยาวและเจริญรุ่งเรือง หรือ มีคุณภาพชีวิตที่ดี นั่นเอง (อายุ (Ayu)=ชีวิต,วัฒนะ=เจริญรุ่งเรือง)

จากการบรรยายของนายแพทย์ กฤษดา ศิรามพุช เจ้าของหนังสือขายดี ถอดรหัสความชรา ตอนชีวิตเริ่มต้นที่ หกสิบปี ในหัวข้อ Anti aging medicine and Nano Era ให้กับผู้ทรงคุณวุฒิและผู้ที่สนใจแนวทางการมีชีวิตยืนยาว โดยไม่เจ็บป่วย ป่วยไข้ ที่โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน ในเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา แนวทางการแพทย์ที่นับว่าเป็นแนวทางใหม่ล่าสุดที่ได้รับการคาดหมายว่า จะกลายเป็นการแพทย์ศตวรรษใหม่ คือ เวชศาสตร์อายุรวัฒน์ ซึ่งเป็นคำจำกัดความของคุณหมอในการแปลหนังสือเล่มแรก อายุยืนควรกำหนดได้ […]

วิธีแก้โรคนอนไม่หลับ

 

 

 

อ่อนเพลียเนื่องจากนอนไม่หลับในตอนกลางคืน และตื่นขึ้นด้วยอาการอิดโรยในตอนเช้า ต่อไปนี้คือวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยกำจัดความทุกข์ตอนนอนให้หายไป แล้วคืนนี้จะได้นอนหลับสบาย

 

1. งดเครื่องดื่มกาแฟ

เป็นที่ทราบกันว่าคาเฟอีนมีสารกระตุ้นที่ทำให้นอนไม่หลับ แต่รู้ไหมว่าสารดังกล่าวยังตกค้างอยู่ในร่างกายอีกด้วย? ดังนั้นทางที่ดี คือ กำจัดมันออกไปจากอาหารที่คุณกินหรืองดดื่มคาเฟอีนตั้งแต่มื้อเที่ยงเป็นต้นไป อย่าลืมคาเฟอีนที่ซ่อนอยู่ในน้ำอัดลม และของว่างต่าง ๆ เช่น โค้ก ช็อกโกแลต เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้นอนไม่หลับ อ่านฉลากข้างกระป๋อง และข้างถุงผลิตภัณฑ์ให้ละเอียด ดื่มชาสมุนไพร เช่น ชาคาโมมาย์ล หรือชาดอกมะนาว ที่ช่วยให้จิตใจผ่อนคลายแทนชาหรือกาแฟ เนื่องจากในชาทั้งสองชนิดนี้มีสารที่ช่วยให้จิตใจสงบเยือกเย็น และปลอดคาเฟอีน

 

2. อาบน้ำก่อนนอน

การแช่ตัวในน้ำอุ่นก่อนนอน จะช่วยให้จิตใจผ่อนคลายจากความเครียดทั้งปวง แต่อย่าแช่น้ำนานเกินไป เพราะแทนที่จะหายเครียดกลับเครียดหนักขึ้น เนื่องจากการแช่ตัวในน้ำร้อนนานเกิน จะทำให้ผิวสูบเสียความชุ่มชื่น ดูไม่มีชีวิตชีวา เพื่อช่วยให้หลับสบาย อย่าลืมหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์ 2-3 หยด ลงในน้ำที่อาบ หรือจะใช้น้ำนมอาบน้ำ

 

3. จัดห้องให้น่านอน

แปลงโฉมห้องนอนให้เป็นที่ที่คุณอยากใช้เวลาอยู่นานๆ จัดข้าวของที่ระเกะระกะให้เข้าที่ […]

โรคฮิตของคนกรุง…โรคแพ้อากาศ

Tweet //

โรคแพ้อากาศ…นับวันยิ่งเป็นกันมากขึ้น

ท่ามกลางความศิวิไลซ์ของโลกยุคปัจจุบัน มีมลพิษ และสิ่งตกค้างต่างๆ ทั้งบนบก ในน้ำ และอากาศที่คนเราหายใจเข้าไปทุกเมื่อเชื่อวัน ด้วยเหตุนี้จึงพบผู้ป่วย “โรคแพ้อากาศ” มากขึ้น

โรคแพ้อากาศหรือทางการแพทย์เรียก “โรคโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้” มาจากภาษาอังกฤษ “Allergic Rhinitis” ซึ่งมีความหมายว่า การอักเสบของเยื่อบุโพรงจมูกจากการแพ้ เป็นโรคที่นับวันจะพบได้บ่อยมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในสภาวะแวดล้อมที่มีสารก่อภูมิแพ้เป็นจำนวนมาก เช่น ฝุ่นละออง ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ การใช้สารเคมีทางการเกษตรและมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม

จาม น้ำมูกใส คัดจมูก แต่ไม่มีไข้ตัวร้อน (อาการสำคัญของโรคแพ้อากาศ)

โรคแพ้อากาศ หรือโรคโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ เป็นโรคที่เกิดจากการตอบสนองของร่างกายต่อสารก่อภูมิแพ้มากกว่าปกติ หรือเมื่อร่างกายของเราสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้แล้วตอบสนองออกเป็นอาการของการแพ้มากเกินไป

คนที่ไม่ได้เป็นโรคภูมิแพ้จะมีการตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้เช่นกัน แต่การตอบสนองของคนทั่วๆ ไปที่ไม่ได้เป็นโรคภูมิแพ้จะไม่มีการตอบสนองที่มากเกินไปเหมือนคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ ในผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ เมื่อได้รับสารก่อภูมิแพ้เข้าทางโพรงจมูกแล้วมีการตอบสนองมากเกินไป ร่างกายจะแสดงออกด้วยอาการจาม น้ำมูกใส คัดจมูก และ/หรือคันจมูก ซึ่งบางคนอาจมีอาการคันตาร่วมด้วย แต่จะไม่มีอาการไข้ตัวร้อน เหมือนดั่งที่พบในโรคไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่

โรคนี้มักเป็นกันมากตอนอากาศหรือฤดูกาลเปลี่ยนแปลง จึงเรียกกันสั้นๆ ว่า “โรคแพ้อากาศ” เพราะเมื่ออากาศเปลี่ยนแปลงก็เริ่มเป็นโรคนี้ขึ้น ซึ่งจริงๆ แล้วขณะที่อากาศเปลี่ยนแปลงนั้นทำให้เกิดการฟุ้งกระจายสารก่อภูมิแพ้ และไปก่อโรคให้กับผู้ที่เคยเป็นโรคนี้ให้กลับมามีอาการอีกครั้งหนึ่ง

[…]